วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ย้ำศก.ส่งสัญญาณฟื้นตัวเลขจ้างงานพุ่ง 2.3%

จัดทำบทความโดย: น.ส.แสงจันทร์ ทองนาค ID 5001103055

เรื่อง: ย้ำศก.ส่งสัญญาณฟื้นตัวเลขจ้างงานพุ่ง 2.3%

“อภิสิทธิ์” กดปุ่มไทยเข็มแข็งวาดฝันฉีดเม็ดเงิน 1.43 ล้านล้าน ปั๊มเศรษฐกิจไทยฟื้นใน 3 ปี คาดเกิดการจ้างงาน 1.5 ล้านคน สภาพัฒน์ ชี้ไตรมาส 3 แผนไทยเข้มแข็งลดการว่างงาน มากกว่า 5 แสนคน พร้อมเผยอัตราจ้างงานช่วงไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 2.3% คนไทยอู้ฟู้!เปลี่ยน-ใช้มือถือเพิ่มกว่า 3 ล้านคนไม่สนพิษเศรษฐกิจ ด้าน “ไอเอ็มเอฟ” เห็นสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แต่ห่วงปัญหาว่างงานฉุดยาวถึงปีหน้า

ที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 4 ก.ย.52 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในพิธีเปิดแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 รัฐบาลลงทุนกระตุ้นไทยก้าวหน้า ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว และวางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง เพื่ออนาคตลูกหลานของประเทศ โดยเริ่มจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การกระตุ้นเศรษฐกิจและมีแนวโน้มดีขึ้น เชื่อว่าใน 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นบวกอีกครั้ง ทั้งนี้รัฐบาล มีแผนจะลงทุนในอนาคตระยะเวลา 3 ปี รวมวงเงิน 1.43 ล้านล้านบาท และคิดเป็นการลงทุนร้อยละ 11 ของจีดีพี โดยเมื่อคิดเฉลี่ยแล้วจะมีการลงทุนร้อยละ 5 ของจีดีพี ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงาน 1.5 ล้านคน หรืออาจจะมากกว่านั้น

นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเลขสาธารณะที่เป็นห่วงกันนั้น อยู่ในสัดส่วนที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการและไม่กระทบเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดหมายว่าในปี 2555 จะมีตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ประมาณร้อยละ 58-59 และจะค่อยๆ ลดลงจนถึงปี 2559จะมีตัวเลขลดลงกว่าร้อยละ 50 อย่างไรก็ดี วันนี้รัฐบาลพร้อมจะลงทุนโดยขณะนี้ได้อนุมัติโครงการไปแล้ว 2 แสนล้านบาท และจะทยอยอนุมัติ 1 แสนล้านบาท และเมื่อพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ... อีก 4 แสนล้านบาท ซึ่งความสำเร็จนี้ต้องได้รับการสนับสนุนฝ่ายราชการ และภาคประชาชนร่วมตรวจสอบเพื่อการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใส

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงการดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ม 2555 ว่าในรอบแรกคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเงินลงทุนวงเงิน 199,960 ล้านบาทแก่ 4 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 48,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบชลประทาน, กระทรวงศึกษาธิการ 45,389 ล้านบาท เพื่อพัฒนาคุณภาพครูให้ตรงกับความต้องการของโรงเรียน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาห้องสมุดโรงเรียน,กระทรวงคมนาคม 39,900 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการถนนไร้ฝุ่นปรับเป็นถนนลาดยางทั่วประเทศ การพัฒนารถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ และกระทรวงสาธารณสุข 11,515 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงพยาบาลระดับจังหวัด จัดซื้อเครื่องมือกางการแพทย์ และปรับปรุงโรงพยาบาลระดับตำบล

รมว.คลัง กล่าวต่อว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ส่งผลชัดเจนว่าทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดยไตรมาส 2/2552 เศรษฐกิจขยายตัวได้ร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบไตรมาส 1/2552 ขณะที่รัฐบาลได้เดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ผ่านโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยมีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณากรอบวงเงินลงทุน จาก 1.56 ล้านล้านบาท เหลือ 1.43 ล้านล้านบาท โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากผลประโยชน์ที่ประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมที่จะได้รับ
อย่างไรก็ตามประชาชนและภาคเอกชน สามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ได้ที่เว็บไซต์ www.tkk2555.com

วันเดียวกัน นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยถึงรายงานความเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงไตรมาส 2 ปี 2552 (เม.ย.-ก.ค.) พบว่าปัญหาการว่างงานพ้นจากภาวะวิกฤติแล้วจากที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้ว่างงานสูงถึง 1 ล้านคน ล่าสุดพบตัวเลขลดลงเหลือประมาณ 6.7แสนคน หรือร้อยละ 1.8 โดยการจ้างงานในภาพรวมขยายตัว ร้อยละ 2.3 โดยเฉพาะภาคเกษตร ยกเว้นอุตสาหกรรมการผลิต ที่จ้างงานลดลง ร้อยละ 3.2 ทั้งนี้ อัตราการบรรจุงานปรับตัวดีขึ้น จากการเริ่มฟื้นตัวในบางสาขาการผลิตและมีผู้ได้รับการบรรจุงาน 68,142 คน จากตำแหน่งงานว่างทั้งสิ้น 103,028 อัตรา

ทั้งนี้การที่นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน ออกมาระบุว่าอัตราการว่างงานเดือน ก.ค.-ส.ค.หรือไตรมาสที่ 3 จะมีผู้ว่างงานลดลงเหลือ 5.1 แสนคน นั้นถือเป็นสัญญาณที่ดี

รองเลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้พบว่าพฤติกรรมการใช้สินค้าประเภทเทคโนโลยีของคนไทย มีอัตราที่สูงขึ้นสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ขยายตัว โดยเฉพาะสินค้าประเภทโทศัพท์มือถือ ภาคครัวเรือนในปี 2551 มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถึง 31.86 ล้านคน หรือร้อยละ 52.8 หรือเพิ่มขึ้น 3 ล้านคน เป็นผลมาจากยอดขายโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ที่มียอดสูง 9-10 ล้านเครื่อง ทั้งกลุ่มที่ซื้อเพื่อทดแทนของเดิม หรือซื้อเพิ่มจากที่มีอยู่แล้ว

ขณะที่ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายโดมินิก สเตราส์ส - คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลกว่ามีสัญญาณฟื้นตัว เนื่องจากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แต่สัญญาณดังกล่าวยังมีความเปราะบางอยู่ พร้อมกันนี้ยังแสดงความเป็นห่วงต่อ ปัญหาการว่างงานทั่วโลก ที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงปีหน้า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

คำถาม:

1.รัฐบาลสามารถบริหารจัดการตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดหมายว่าในปี 2555 จะมีตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ลดลงประมาณร้อยละเท่าไร

2.ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงการดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็ม 2555 ว่าในรอบแรกคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเงินลงทุนวงเงิน 199,960 ล้านบาทแก่ 4 กระทรวงหลัก คือ

3.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยถึงรายงานความเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงไตรมาส 2 ปี 2552 พบว่าปัญหาการว่างงานพ้นจากภาวะวิกฤติแล้วจากที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้ว่างงานสูงถึง 1 ล้านคน ล่าสุดพบตัวเลขลดลงเหลือเท่าไร

แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กทม. ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ จัดงาน “สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งลำน้ำเจ้าพระยา”

จัดทำบทความโดย: น.ส.แสงจันทร์ ทองนาค 5001103055 c1/1

เรื่อง: กทม.ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ จัดงาน “สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งลำน้ำเจ้าพระยา”


กรุงเทพฯ--26 ส.ค.--กองประชาสัมพันธ์ กทม.

ผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ เปิดงาน “สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งลำน้ำเจ้าพระยา” พร้อมแจกคู่มือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวตามสายน้ำเจ้าพระยา หวังกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ ขณะที่ภาคเอกชนกว่า 100 ราย ร่วมโครงการพร้อมให้ส่วนลดนักท่องเที่ยว 10-20%

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน “สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งลำน้ำเจ้าพระยา” เปิดตัวกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมแจกคู่มือการท่องเที่ยวทางน้ำแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางสายน้ำ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครกว่า 100 ร้านค้า เพื่อเป็นการส่งเสริมและแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานครให้เป็นที่รู้จักแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวทางน้ำในกทม. ให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำหรับโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ กทม. ได้รับความร่วมมือจากบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ซึ่งมีการจัดเรือด่วนพิเศษ ทัวร์ท่องเที่ยวทางน้ำให้บริการพร้อมมัคคุเทศก์ประจำเรือ โดยให้บริการทุกวันระหว่างเวลา 09.00-15.00 น. เริ่มจากท่าเรือสาทร ผ่านท่าโอเรียนเต็ล สี่พระยา ราชวงศ์ สะพานพุทธ ท่าเตียน มหาราช วังหลัง และไปสิ้นสุดที่ท่าพระอาทิตย์ ค่าบริการในอัตราคนละ 150 บาท โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้ตั๋วใบเดียวเดินทางได้ตลอดทั้งวัน พร้อมมอบคูปองส่วนลดสำหรับการใช้บริการหรือซื้อสินค้าในร้านค้าที่ร่วมโครงการ

นอกจากนี้สมาคมเรือไทยที่เป็นผู้ให้บริการในการจัดเรือหางยาวท่องเที่ยวทางน้ำ เรือภัตตาคาร ยังมอบส่วนลด ค่าเรือ ค่าอาหาร ให้กับนักท่องเที่ยวในการใช้บริการต่อเนื่อง ทั้งในส่วนการท่องเที่ยวในลำคลอง เช่นคลองบางกอกน้อยหรือการรับประทานอาหารในเรือภัตตาคารด้วย

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวต่อไปว่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำดังกล่าว กทม. ยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการภาคเอกชนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ และบริเวณท่าเรือทั้ง 9 แห่ง อีกกว่า 100 ร้านค้า ในการมอบส่วนลดสำหรับการใช้บริการอีก 10-20% เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถที่ได้รับตราสัญลักษณ์ “กรุงเทพเมืองยิ้ม หรือ Bangkok Smile”

ในส่วนของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถขอรับได้ที่กองการท่องเที่ยว รวมทั้งซุ้มประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวซึ่งตั้งอยู่ในย่านหรือแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทั่วกรุงเทพมหานคร สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2225 7612-4

ที่มาของข่าว:www.ThaiPR.net

คำถาม

1."โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ กทม." ได้ให้ส่วนลดนักท่องเที่ยวในการเข้าร่วมโครงการกี่เปอร์เซ็นต์

2.สำหรับโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ กทม.ได้รับความร่วมมือในการจัดทำโครงการจากบริษัทใด

3.การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ กทม.ได้มอบส่วนลดสำหรับการใช้บริการ 10-20% เป็นระยะเวลา 1 ปี และนักท่องเที่ยวที่เข้าโครงการจะได้รับตราสัญลักษณ์แบบใด

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เปิดแผนงบประมาณ เบี้ยหัวแตก 2 แสนล้าน

จัดทำบทความโดย น.ส.ขวัญวิไล จงเสริมสุข ID.5001103054

เรื่อง:เปิดแผนงบประมาณ เบี้ยหัวแตก 2 แสนล้าน

ถือว่าคลอดจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวานนี้
โดยตัวเลขสุดท้ายที่เคาะออกมาคือ 199,960.6 ล้านบาท
หากจำแนกแยกย่อยออกมาให้เห็นกันชัดๆ ว่าแต่ละหน่วยงานได้รับงบประมาณเท่าไหร่จะ พบว่า
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังคงเป็นแชมป์ที่ชิงเค้กก้อนนี้ไปครองได้มากที่สุดที่ 48,078 ล้านบาท
โครงการหลักๆ ในกลุ่มนี้คือ การจัดการแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 20,232 ล้านบาท และการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ชลประทาน 17,224 ล้านบาท
นอกจากนั้น ยังมีโครงการปลีกย่อยอีกจำนวนมาก อาทิ
-การส่งเสริมศักยภาพตลาดผักผลไม้
-โครงการพัฒนาศักยภาพศูนย์รวบรวมปาล์มน้ำมัน
-โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการสัตว์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมปลูกปาล์มน้ำมัน
-โครงการฟื้นฟูพื้นที่นาร้าง
-โครงการเพิ่มผลิตภาพยางพาราโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นต้น

กระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นอีกกระทรวง หนึ่งที่ได้รับงบประมาณไปจำนวนมากถึง 45,389.6 ล้านบาท
โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาที่เหลือก็จะเป็นโครงการที่ได้รับในระดับมหาวิทยาลัย ที่น่าจับตาคือ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ได้รับเงินไปถึง 1,066 ล้านบาท สูงกว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับ 10.3 ล้านบาทเท่านั้น

โครงการที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ โครงการพัฒนาคุณภาพครูโรงเรียนเอกชนเพื่อความมั่นคงในวิชาชีพครู การพัฒนาทักษะอาชีพครบวงจรในโรงเรียนปอเนาะ โครงการปัจจัยสนับสนุนการศึกษา โครงการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาคอาเซียน การลงทุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

การยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค
ในส่วนของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและเชียงใหม่ จะพัฒนาศูนย์โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และบุคลากรด้านสาธารณสุข
สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา มีแผนจะยกระดับคุณภาพครูทั้งระบบ 579 ล้านบาท เป็นต้น
กระทรวงคมนาคม ได้รับงบประมาณไปถึง 39,900.2 ล้านบาท ที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็คือ งบประมาณในมือของกรมทางหลวง 23,626 ล้านบาท เป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง การอำนวยความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ทาง และการบำรุงรักษาทางหลวงทั่วประเทศ

ที่ฮือฮามาตลอดคือ โครงการถนนไร้ฝุ่น ในความ ดูแลของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งใช้ เงินถึง 14,821 ล้านบาท เป็นโครงการที่จะ เริ่มก่อสร้างในปี 2553 มีจำนวนเส้นทางทั้งสิ้น 7,200 กิโลเมตร
สำหรับโครงการในส่วนของกระทรวงการคลังนั้นได้รับงบประมาณไป 1.45 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดนี้เทไปให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ
เป็นการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม คือ เพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินของรัฐ เพื่อทำหน้าที่อัดฉีดสินเชื่อเข้าสู่เศรษฐกิจ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับเงินไป 11,389 ล้านบาท มากที่สุดคือ กรมทรัพยากรน้ำ 8,981 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้อนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำทั่วประเทศ การปรับปรุงสิ่งก่อสร้างด้านแหล่งน้ำเพื่อการถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ 4 โครงการ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับ 1,467 ล้านบาท นำไปพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 119 ล้านบาท โครงการพัฒนาสวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติ 366 ล้านบาท โครงการประชาป้องกันภัยดับไฟป่า การเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านอนุรักษ์สัตว์ป่า
ส่วนกรมป่าไม้ใช้เงินในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและพื้นที่ป่าต้นน้ำ ลำธาร และการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับโครงการเดียวคือ โครงการดิจิตอล มีเดีย เอเชีย 2010 ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ 200 ล้านบาท

คาดว่าโครงการอื่นๆ ของกระทรวงไอซีทีจะอยู่ในการพิจารณากลั่นกรองรอบ 2 ซึ่งจะมีการใช้เงินตามพ.ร.บ.เงินกู้อีก 4 แสนล้านบาท ที่เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรของกระทรวงมหาดไทย ได้รับวงเงิน 6,423 ล้านบาท หลักใหญ่ๆ ใช้ในโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนกว่า 4,400 ล้านบาท ที่เหลือจะให้กับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น 1,950 ล้านบาท เพื่อลงทุนก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และก่อสร้างอาคารเรียน
ขณะที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่มีระบบการบริหารงานพิเศษได้รับ 35 ล้านบาท ไปพัฒนาศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็ง และเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ 20 ล้านบาท และการพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุข ในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตีได้รับงบประมาณไป 9,675 ล้านบาท ก้อนใหญ่ที่สุดน่าจะไปใช้ในโครงการต้นกล้าอาชีพ 7,509 ล้านบาท
ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นโควตาของทหาร ผ่านกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) 2,166 ล้านบาท นำไปใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการทำดีมีอาชีพที่ดูมีสีสันคืองบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 890 ล้านบาท จะนำไปใช้ติดไฟส่องสว่างสถานที่สำคัญริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 30 ล้านบาท โครงการฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน 300 ล้านบาท
โครงการเฝ้าระวังการเอารัดเอาเปรียบ นักท่องเที่ยว 1 ล้านบาท โครงการรณรงค์ When You Need Help Call 1155 อีก 1.7 ล้านบาท เป็นต้น คงต้องจับตาดูว่าโครงการที่ได้รับอนุมัติจะเป็นการใช้แบบ “เบี้ยหัวแตก” เรียกว่าหว่านไปทั่วหรือไม่ คงต้องตรวจสอบกันอย่างเข้มข้นต่อไป




ที่มาของข่าว:
http://www.posttoday.com/finance.php?id=62456

คำถาม

1.จากการประชุมคณะรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณไปจำนวนกี่ล้านบาท

2.การลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม คือ...........

3. สำนักนายกรัฐมนตีได้รับงบประมาณกี่ล้านบาท นำไปใช้ในโครงการใดบ้าง (ยกตัวอย่าง2ข้อ)

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีวันนี้ปรับตัวลง ขายทำกำไร-ราคาน้ำมันอ่อนตัว-กังวลการเมือง

จัดทำบทความโดย
น.ส.ขวัญวิไล จงเสริมสุข 5001103054

เรื่อง: ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีวันนี้ปรับตัวลง ขายทำกำไร-ราคาน้ำมันอ่อนตัว-กังวลการเมือง


นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บลเอเซียพลัส คาดว่าวันนี้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเทขายทำกำไร ทำให้ตลาดอ่อนตัวได้ หลังจากราคาหุ้นได้สะท้อนผลประกอบการจนเต็มมูลค่า (Fair Value) ไป โดยเฉพาะหุ้นตัวใหหญ่ ประกอบกับความกังวลในเรื่องการเมือง "มีโอกาสที่ถูกขายทำกำไรได้ เพราะเท่าที่ดู ปัจจัยเวดล้อมสะท้อนเกี่ยวกับผลประกอบการค่อนข้างมากพอสมควรแล้ว ถ้าดูราคาหุ้นต้วใหญ่ส่วนใหญ่เต็ม Fair Value แรงขับเคลื่อนตลาดจะเบา และมีความกังวลเรื่องการเมืองก็มองว่าถูกขายทำกำไรได้เหมือนกัน"นายเทิดศักดิ์ กล่าว
ให้กรอบวันนี้ แนวต้านที่ 650 จุด และแนวรับที่ 635 จุด
ด้านบล.คันทรี่ กรุ๊ป มองภาพรวมของตลาด อาจไม่ดีนัก จากปัจจัยตลาดต่างประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย และราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวลง ประกอบกับนักลงทุนอาจชะลอการลงทุนก่อนเข้าสู่วันหยุดของไทย ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง
จึงแนะนำให้ชะลอการลงทุน หรือตั้งรับหุ้นในระดับที่ราคาต่ำๆไว้ก่อน แต่สำหรับนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยง หากตลาดปรับตัวลงตามที่คาด นักลงทุนอาจใช้จังหวะที่ราคาหุ้นลดลงนี้ เข้าซื้อเพื่อรับผลการประชุม FOMC ในวันที่ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการ

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :
- ตลาดหุ้นนิวยอร์คืนวาน(10 ส.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 9,337.95 จุด ลบ 32.12 จุด(-0.34%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,007.10 จุด ลดลง 3.38 จุด(-0.33%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 1,992.24 จุด ลบ 8.01 จุด (-0.40%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 717.81 ล้านบาท วานนี้ (10 ส.ค.)
- ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุดที่ 70.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 33 เซ็นต์
- ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติให้ลดการเรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อลดราคาน้ำมันดีเซล(B2)ลงรวม 2 บาท/ลิตร
พร้อมทั้งให้ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม(LPG), ก๊าซธรรมชาติ(NGV) และค่าไฟฟ้าผันแปร(FT) ไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ค.53 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในวันนี
- ที่ประชุมวุฒิสภาวานนี้ได้ให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ด้วยคะแนน 110 ต่อ 21 โดยงดออกเสียง 9 และไม่ลงคะแนน 1 คน พร้อมตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้น 27 คน เพื่อพิจารณาภายใน 30 วัน
- นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สว.สรรหา เปิดเผยว่า จะรวบรวมรายชื่อสส. และสว. จำนวน 1 ใน10 เสนอต่อประธานวุฒิสภาไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท เพราะไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 167 คือ ไม่มีแผนการใช้จ่ายชัดเจน ไม่ผ่านการตรวจสอบในวิธีการทางงบประมาณ
- ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดแผนกลยุทธ์ที่จะเพิ่มบทบาทของตลาดทุนไทยในภูมิภาคเอเชีย โดยการเปิดให้บริษัทต่างประเทศ (foreign issuer) สามารถออกและเสนอขายหุ้นแก่ผู้ลงทุนในประเทศไทยและนำหุ้นดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้าในตลาด
- นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่าภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มของการเติบโตตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งเริ่มเห็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติแล้วในขณะนี้ และน่าจะได้เห็นการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังด้วย
- นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุ การกลับเข้ามาลงทุนของบรรดากองทุนต่าง ๆ และนักลงทุนต่างชาติช่วยให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงต้นปีมาที่เฉลี่ย 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.52 ซึ่งอยู่ที่ 8 พันล้านบาท/วัน
- ธปท. รายงานยอดการให้บริการบัตรเครดิตทั้งระบบงวดสิ้นเดือนมิ.ย.52 พบว่า ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมทั้งระบบมีทั้งสิ้น 7.46 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 4,532 ลบ. หรือ 6.47% จากเดือนก่อนหน้าที่มียอดใช้จ่ายแค่ 7.01 หมื่นลบ.
- ธปท.ขอดูผลการผ่อนคลายมาตรการสกัดบาทแข็ง 2-3 เดือนก่อนตัดสินใจออกมาตรการใหม่ เผยตลาดอยู่ระหว่างปรับตัว ยอมรับบาทยังคงผันผวนตามดอลลาร์อยู่
- รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม จะเสนอให้ที่ประชุมครม.วันที่ 11 ส.ค.นี้ พิจารณาปรับลดวงเงินการก่อสร้างงานในสัญญาที่ 6 ซึ่งงานด้านระบบรางและยังไม่ได้เริ่มขั้นตอนการประมูลงาน ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ จากวงเงินเดิมที่ตั้งไว้ 4,077 ล้านบาท เหลือเพียง 3,638 ล้านบาท เนื่องจากผลการประกวดราคางานสัญญาที่ 1 สัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 3 ที่ออกมา มีราคาสูงกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้เดิม ทำให้ส่งผลกระทบต่อวงเงินงบประมาณรวมของโครงการทั้งหมดที่ตั้งไว้อยู่ที่ 36,055 ล้านบาท ทำให้จำเป็นต้องมีการขอปรับลดงบประมาณก่อสร้างงานสัญญาที่ 6 ลงมาอีก

ที่มา: อินโฟเควสท์

คำถาม
1.ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุดที่เท่าไร

2.การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) มีมติให้เรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซลน้ำมันเชื้อ เพื่อลดราคาน้ำมันดีเซลลงเท่าไร

3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อจากวงเงินเดิมที่ตั้งไว้ 4,077 ล้านบาท ลดเหลือเท่าไร

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เจ้าของขายทิ้ง โรงแรมดัง ท่องเที่ยวทรุด

จัดทำบทความโดย
น.ส.สุดารัตน์ คงแป้น ID.5001103053

เรื่อง:เจ้าของขายทิ้ง โรงแรมดัง ท่องเที่ยวทรุด

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เผย นักลงทุนจีนเตรียมเข้ามาซื้อกิจการโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ในไทย 15-16 แห่ง ราคาเฉลี่ยแห่งละ 1,200-1,500 ล้านบาท จากวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้เจ้าของกิจการมีปัญหาขาดสภาพคล่อง ...

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นักลงทุนจีนเตรียมเข้ามาซื้อกิจการโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ในไทย 15-16 แห่ง ราคาเฉลี่ยแห่งละ 1,200-1,500 ล้านบาท เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจและการระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำให้รายได้ โรงแรมลดลงอย่างมาก ส่งผลให้เจ้าของกิจการมีปัญหาขาดสภาพคล่อง และหลายรายไม่สามารถชำระหนี้ให้กับสถาบันการเงินได้ โดยนักลงทุนจีนประเมินว่า 2-3 ปีข้างหน้า ภาคการท่องเที่ยวในไทยจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกจึงเข้ามาซื้อ โดยคาดว่าจีนจะต่อรองราคาโรงแรมเพื่อขอลดราคาไม่ต่ำกว่า 30% จึงได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เจรจากับนักลงทุน โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมในพื้นที่พัทยา กรุงเทพฯ ขอนแก่น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้เพราะหลายคู่ได้เจรจากันมานานแล้ว

ยอมรับว่าโรงแรมหลายแห่งประสบปัญหารายได้อย่างหนัก โดยเฉพาะยอดนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและไข้หวัด 2009 ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหลายรายถือโอกาสเข้ามาช้อนซื้อของดีราคาถูก เพราะนักลงทุนจีนได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจไม่มาก จึงมีเงินเหลืออีกเยอะผิดกับนักลงทุนไทยหลายรายที่มีปัญหาสภาพคล่อง

นายชาญชัยยังเปิดเผยว่า นักลงทุนจีนยังเตรียมเข้ามาลงทุนตั้งสถานศึกษาในไทยโดยใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ต่อแห่ง วงเงินลงทุนรายละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงกับการศึกษาของจีน เบื้องต้นมีระบบการศึกษาร่วมกัน 2 แบบ คือ เรียนที่จีน 1 ปี แล้วกลับมาเรียนสถานศึกษาในไทยอีก 3 ปี หรือเรียนที่จีน 2 ปี และที่ไทยอีก 2 ปี โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 ประเทศ ก็ได้ส่งนักศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากอิสราเอลสนใจเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับระบบชลประทานและระบบน้ำแบบครบวงจร เนื่องจากไทยมีโครงการเมกะโปรเจกต์ระบบน้ำและเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการลงทุน เบื้องต้นประธานหอการค้าอิสราเอล-เอเชียเชิญกระทรวงอุตสาหกรรมไปเยี่ยมชมเทคโนโลยีระบบน้ำที่ทันสมัยที่สุดในโลกที่อิสราเอลมีความชำนาญ จึงให้บีโอไอไปดูเวลาที่เหมาะสมสำหรับเพื่อไปโรดโชว์ดึงให้นักลงทุนมาไทยและจะนำนักธุรกิจไทยไปเจรจาเพื่อร่วมทุนกับนักธุรกิจอิสราเอล.


ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์


คำถาม

1.นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เผยว่านักลงทุนจีนเตรียมเข้ามาซื้อกิจการโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ในไทยกี่แห่ง

2.นักลงทุนจีนเตรียมเข้ามาลงทุนตั้งสถานศึกษาในไทยโดยใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่ากี่ไร่ เงินลงทุนรายละไม่ต่ำกว่าเท่าไร

3.จีนต่อรองราคาโรงแรมเพื่อขอลดราคาไม่ต่ำกว่าเท่าไร

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ ประจำเดือน มิถุนายน 2552 และระยะ 6 เดือนแรกของปี 2552

จัดทำบทความโดย
น.ส.สุดารัตน์ คงแป้น ID.5001103053

เรื่อง:รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ ประจำเดือน มิถุนายน 2552 และระยะ 6 เดือนแรกของปี 2552


กระทรวงพาณิชย์ ขอรายงานความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมิถุนายนและระยะ 6 เดือนแรกของปี 2552 โดยสรุป
จากการสำรวจราคาสินค้าและบริการทั่วประเทศจำนวน 417 รายการ ครอบคลุม หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า เคหสถาน การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล พาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร การบันเทิง การอ่าน การศึกษาและการศาสนา ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพื่อนำมาคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ได้ผลดังนี้

1. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมิถุนายน 2552
ในปี 2550 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ เท่ากับ 100 และเดือนมิถุนายน 2552 เท่ากับ 104.7 (เดือน พฤษภาคม 2552 คือ 104.3)

2. การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมิถุนายน 2552 เมื่อเทียบกับ
2.1 เดือนพฤษภาคม 2552 สูงขึ้นร้อยละ 0.4
2.2 เดือนมิถุนายน 2551 ลดลงร้อยละ 4.0
2.3 เฉลี่ยช่วงระยะ 6 เดือน ( มกราคม - มิถุนายน ) ปี 2551 ลดลงร้อยละ 1.6

3. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมิถุนายน 2552 เทียบกับ เดือนพฤษภาคม 2552 สูงขึ้นร้อยละ 0.4 ( เดือนพฤษภาคม 2552 ลดลงร้อยละ 0.3 ) สาเหตุสำคัญเนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยภายในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรัฐบาลได้ลดการสนับสนุนมาตรการเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค(ค่าน้ำประปา ) ลงในพื้นที่บางจังหวัด และการปรับสูงขึ้นของราคาบุหรี่และสุราและเครื่องดื่มที่มีแออกอฮอล์อื่นๆ จากภาษีสรรพาสามิตของรัฐบาลซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนก่อนหน้า ประกอบกับราคาอาหารสดบางชนิด ราคายังทรงตัวสูง ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ไก่สด ปลาและสัตว์น้ำ เครื่องประกอบอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และนมและผลิตภัณฑ์นม สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ เนื้อสุกร ผักและผลไม้ ไข่ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
3.1 ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 0.4 ( เดือนพฤษภาคม 2552 สูงขึ้นร้อยละ 0.1 ) ปัจจัยสำคัญเนื่องจากราคาอาหารหลายชนิดได้มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ ผักและผลไม้ ร้อยละ -3.5 ได้แก่ แตงกวา เห็ด ถั่งฝักยาว มะเขือเจ้าพระยา มะนาว เงาะ แตงโม ฝรั่ง มังคุด และลองกอง เป็นผลจากปริมาณผลผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมากจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและเป็นช่วงฤดูกาลของผลไม้บางชนิดตั้งแต่เดือนก่อนหน้า ไข่ ร้อยละ -1.7 (ไข่ไก่ และไข่เป็ด ) เนื้อสุกร ร้อยละ -0.5 สำหรับสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น คือ ข้าว ร้อยละ +0.1 ( ข้าวสารจ้าวและข้าวสารเหนียว) ไก่สด ร้อยละ +0.8 ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ +0.2 เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ +0.3 ( น้ำมันพืช เครื่องปรุงรส น้ำปลา ซีอิ๊วและซอสหอยนางรม) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ +0.2 ( เครื่องดื่มรสชอกโกแลต กาแฟและชา สำเร็จรูปพร้อมดื่ม ) อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ +0.1 ( อาหารว่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และปลากระป๋อง ) และผลไม้สดบางชนิด เช่น ส้มเขียวหวาน มะม่วง มะละกอสุก และกล้วยน้ำว้า เป็นต้น
3.2 ดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 1.0 เป็นอัตราที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ( เดือน พฤษภาคม 2552 ลดลงร้อยละ 0.5 ) ปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศโดยเฉลี่ย ร้อยละ +7.9 ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ+7.7 (บุหรี่และสุรา ) เนื่องจากรัฐบาลได้ปรับภาษีสรรพสามิตสูงขึ้นตั้งแต่เดือนที่แล้ว ค่าน้ำประปา ร้อยละ +0.3 ผลจากรัฐบาลได้ลดการสนับสนุนมาตรการให้เงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภคในส่วนของค่าน้ำประปาลงในพื้นที่บางจังหวัด และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ร้อยละ +0.1 ( ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยารีดผ้าและก้อนดับกลิ่น ) ในขณะที่สินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง ร้อยละ -0.6 ( แผ่นไม้อัด และปูนซีเมนต์ ) และของใช้ส่วนบุคคลบางชนิด ( สบู่ถูตัว น้ำหอมและแปรงสีฟัน )

4. ถ้าพิจารณาดัชนีเทียบกับเดือนมิถุนายน 2551 ลดลงร้อยละ 4.0 เป็นอัตราที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของดัชนีราคาหมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ -17.5 ( น้ำมันเชื้อเพลิงและค่าโดยสารสาธารณะ ) หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ -10.0 ( ค่าเล่าเรียน,ค่าธรรมเนียมการศึกษา,หนังสือและอุปกรณ์การศึกษา ) หมวดหมวดเคหสถาน ร้อยละ -5.0 ( ค่ากระแสไฟฟ้าและค่าน้ำประปา )และหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ -3.4 ( เครื่องแบบนักเรียนอนุบาลและมัธยมชาย,หญิง ) สำหรับดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ 3.8 ( เนื้อสุกร ปลาและสัตว์น้ำ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ผักและผลไม้ เครื่องประกอบอาหาร อาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ) สำหรับดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่สูงขึ้น คือ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ +13.3 (ผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ) และหมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ +1.5 ( ค่ายาและเวชภัณฑ์และค่าของใช้ส่วนบุคคล )

5. ถ้าพิจารณาดัชนีเฉลี่ยเทียบกับช่วงระยะ6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน ) ปี 2551 ลดลงร้อยละ 1.6 สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงร้อยละ -25.3 ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ -25.5 และค่าน้ำประปา ร้อยละ -36.7 และหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ -0.9 ( เครื่องแบบนักเรียนอนุบาลและมัธยมชาย,หญิง ) เป็นสำคัญ สำหรับดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 7.4 และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 7.6

6. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ (คำนวณจากรายการสินค้าและบริการ 300 รายการ) คือ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสด และกลุ่มพลังงานจำนวน 117 รายการ คิดเป็นประมาณร้อยละ 24 ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมิถุนายน 2552 เท่ากับ 102.5 เมื่อเทียบกับ
6.1 เดือนพฤษภาคม 2552 สูงขึ้นร้อยละ 0.2
6.2 เดือนมิถุนายน 2551 ลดลงร้อยละ 1.0
6.3 เฉลี่ยช่วงระยะ6 เดือน ( มกราคม- มิถุนายน ) ปี 2551 สูงขึ้นร้อยละ 0.7

โดยดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ เดือนมิถุนายน 2552 เมื่อเทียบกับเดือน พฤษภาคม2552 สูงขึ้นร้อยละ 0.2 โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่าน้ำประปา ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เครื่องประกอบอาหารและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ขณะที่สินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น


ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์

คำถาม

1.ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมิถุนายน 2552 เทียบกับ เดือนพฤษภาคม 2552 สูงขึ้นร้อยละเท่าไร

2. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศคำนวณจากรายการสินค้าและบริการจำนวนกี่รายการ

3.จากการสำรวจราคาสินค้าและบริการทั่วประเทศจำนวน 417 รายการ ครอบคลุมหมวดใดบ้าง (ยกตัวอย่าง 3ข้อ)